AI Genius Academy

แหล่งเรียนรู้เเจาะลึกรื่อง AI สำหรับทุกคน

ข่าวสาร AI รอบโลก

AI ปฏิวัติวงการแพทย์ เปิดยุคใหม่แห่งการดูแลสุขภาพ

ถ้าใครเคยสงสัยว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาช่วยวงการแพทย์ยังไง วันนี้ผมมีเรื่องราวน่าสนใจจาก ดานิเอเล่ คาลิจีโอเร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ที่หยิบเอางานวิจัยล่าสุดมาพูดถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ AI ช่วยผลักดันให้วงการสุขภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบวินิจฉัยภาพที่ฉลาดขึ้น หรือหุ่นยนต์ผ่าตัดที่แม่นยำกว่าเดิม

AI กับนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมการแพทย์

ลองนึกภาพโครงกระดูกเทียมที่ช่วยให้ผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังกลับมาเดินได้ หรืออัลกอริทึมที่ทำนายโรคสมองเสื่อมได้ล่วงหน้านับปี AI กำลังส่งผลให้วงการสุขภาพเข้าสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่ช่วยหมอทำงานง่ายขึ้น แต่ยังเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและรักษาอย่างเฉพาะบุคคล

ด้านธุรกิจเอง ตลาด AI ในวงการดูแลสุขภาพก็โตแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าจาก 11 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เป็นเกือบ 188 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 หรือเฉลี่ยโตปีละ 37% เลยทีเดียว

AI ใช้งานอย่างไรบ้างในตอนนี้?

  • ค้นหาข้อมูลพันธุกรรมเพื่อหาสัญญาณโรคก่อนกำเนิด
  • ช่วยจัดการตารางงานและงานธุรการในโรงพยาบาล
  • รับมือกับข้อมูลจำนวนมากเพื่อช่วยหมอตัดสินใจ
  • พัฒนาหุ่นยนต์และอุปกรณ์ช่วยฟื้นฟูร่างกาย

และแนวโน้มนี้ยังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละประเทศก็มีความตั้งใจจะใช้ AI ให้ศักยภาพสูงสุด

อย่าลืมเรื่องความเท่าเทียม และความรับผิดชอบ

แต่ก็ต้องระวังเพราะ AI อาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสุขภาพยุ่งยิ่งขึ้นอีก เช่น คนในประเทศที่มีรายได้น้อยอาจไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัยแบบนี้ นั่นคือเหตุผลที่คาลิจีโอเรแนะนำว่า นวัตกรรม AI ควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือฐานะยังไง เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

อีกประเด็นน่าสนใจคือเรื่องความรับผิดชอบเวลาที่ AI ตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งหลายระบบ AI ยังเป็นเหมือน “กล่องดำ” ที่แม้แต่ผู้พัฒนายังไม่รู้วิธีอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นการดูแลและวางกรอบการใช้ AI ต้องระมัดระวังมาก

AI ช่วยหมอแต่ไม่ใช่แทนหมอ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ AI ควรเป็นตัวช่วยของแพทย์ ไม่ใช่ทดแทน เพราะความสามารถเฉพาะตัวของหมอในการให้กำลังใจ และเข้าใจความรู้สึกคนไข้ ยังเป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้เลย

คาลิจีโอเรชี้ว่า “AI ควรถูกมองว่าเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน และควรเป็นเพียงตัวช่วย ไม่ใช่ตัวแทน”

นี่เองทำให้การสร้างสมดุลในการใช้ AI สำหรับหมอและผู้ป่วยเป็นเรื่องจำเป็น ผู้ป่วยจะได้ใช้ AI ในการเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพ หรือหาทางป้องกันโรค แต่ยังต้องพึ่งหมอเพื่อคำแนะนำที่ครอบคลุมกว่า

ภาพรวมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังมา

ในเชิงบวก AI ก็มีพลังมหาศาล เหมือนกล้องจุลทรรศน์ที่ช่วยตรวจจับเซลล์ผิดปกติ หรือแผนที่สมองที่บอกตำแหน่งกิจกรรมต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาเหมาะกับแต่ละคนมากขึ้น

ด้านการแพทย์เชิงฟื้นฟู AI เข้ามาช่วยซ่อมแซมอวัยวะ ด้วยการใช้ยีนและเซลล์ต้นกำเนิด โดยเฉพาะกับผู้บาดเจ็บไขสันหลัง

นอกจากนี้ AI ยังผลักดันการบำบัดส่วนบุคคล ที่ขึ้นกับข้อมูลพันธุกรรม เช่น การรักษาแบบเจาะจงอาการสั่นของโรคพาร์กินสัน หรือประเภทของมะเร็งเต้านม ทำให้ใครได้รับการดูแลที่เหมาะสมกับตัวเองสุดๆ

ที่เจ๋งไม่แพ้กันคือ เทคโนโลยีผสมผสานโลกจริงกับโลกเสมือนอย่าง ‘เมตาเวิร์ส’ ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าบำบัดกลุ่มผ่านอวาตาร์ หรือ ‘ฝาแฝดดิจิทัล’ ที่จำลองร่างกายและสมองผู้ป่วยในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์และทดลองการรักษาก่อนจริง

เตรียมตัวให้พร้อมกับยุค AI ของวงการสุขภาพ

แน่นอนว่านวัตกรรมเหล่านี้จะเปลี่ยนวิธีที่หมอและคนไข้สื่อสารกัน คาลิจีโอเรเตือนให้ทุกคนมีทัศนคติที่วิพากษ์ วิเคราะห์การใช้ AI ให้ดี เพราะแม้โลกจะเปลี่ยน แต่การดูแลด้วยใจและการมีปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ยังสำคัญที่สุดเสมอ

หมอต้องพัฒนาทักษะด้านเทคนิคเพื่อใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มพูนทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์และความเข้าใจทางอารมณ์ ที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

ในอีกไม่นาน ภาพรวมของการดูแลสุขภาพจะเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น เทคโนโลยีจะกลายเป็นแว่นขยายที่ช่วยให้หมอเห็นรายละเอียดของร่างกายได้ชัดและแม่นยำกว่าเดิม

ที่มาของข้อมูล https://www.news-medical.net/news/20250801/Healing-with-Artificial-Intelligence-highlights-the-future-of-patient-care.aspx